เศษส่วน
เค้กถูกตัดออกไปหนึ่งในสี่ส่วน เหลือเพียงสามในสี่ส่วน
ในทางคณิตศาสตร์ เศษส่วน
คือความสัมพันธ์ตามสัดส่วนระหว่างชิ้นส่วนของวัตถุหนึ่งเมื่อเทียบกับวัตถุทั้งหมด
เศษส่วนประกอบด้วยตัวเศษ (numerator) หมายถึงจำนวนชิ้นส่วนของวัตถุที่มี และตัวส่วน (denominator)
หมายถึงจำนวนชิ้นส่วนทั้งหมดของวัตถุนั้น ตัวอย่างเช่น 30 จึงไม่สามารถเป็นตัวส่วนของเศษส่วนได้
(ดูเพิ่มที่ การหารด้วยศูนย์) 4 อ่านว่า เศษสามส่วนสี่ หรือ สามในสี่
หมายความว่า วัตถุสามชิ้นส่วนจากวัตถุทั้งหมดที่แบ่งออกเป็นสี่ส่วนเท่าๆ กัน
นอกจากนั้น การแบ่งวัตถุสิ่งหนึ่งออกเป็นศูนย์ส่วนเท่า ๆ กันนั้นเป็นไปไม่ได้
ดังนั้น
เศษส่วนเป็นตัวอย่างชนิดหนึ่งของอัตราส่วน
ซึ่งเศษส่วนแสดงความสัมพันธ์ระหว่างชิ้นส่วนย่อยต่อชิ้นส่วนทั้งหมด ในขณะที่อัตราส่วนพิจารณาจากปริมาณของสองวัตถุที่แตกต่างกัน
(ดังนั้น 3 4 อาจไม่เท่ากับ 3 : 4) และเศษส่วนนั้นอาจเรียกได้ว่าเป็นผลหาร (quotient)
ของจำนวน
ซึ่งปริมาณที่แท้จริงสามารถคำนวณได้จากการหารตัวเศษด้วยตัวส่วน ตัวอย่างเช่น 3 4 คือการหารสามด้วยสี่ ได้ปริมาณเท่ากับ
0.75 ในทศนิยม
หรือ 75% ในอัตราร้อยละ
การเขียนเศษส่วน ให้เขียนแยกออกจากกันด้วยเครื่องหมายทับหรือ
ซอลิดัส (solidus) แล้ววางตัวเศษกับตัวส่วนในแนวเฉียง
เช่น ¾ หรือคั่นด้วยเส้นแบ่งตามแนวนอนเรียกว่า วิงคิวลัม
(vinculum) เช่น 3ป้ายจราจรในบางประเทศ 4
ในบางกรณีอาจพบเศษส่วนที่ไม่มีเครื่องหมายคั่น อาทิ 34 บน
รูปแบบ
เศษส่วนสามัญ
เศษส่วนแท้ และเศษเกิน
เศษส่วนสามัญ (vulgar/common fraction) คือจำนวนตรรกยะที่สามารถเขียนอยู่ในรูป
a/b หรือ a b โดยที่
a และ b ซึ่งเรียกว่า ตัวเศษ
และ ตัวส่วน ตามลำดับ เป็นจำนวนเต็มทั้งคู่[1] ตัวเศษแสดงแทนจำนวนของส่วนแบ่ง
และตัวส่วนซึ่งไม่เท่ากับศูนย์แสดงแทนการแบ่งส่วนจากทั้งมวล เช่น 1 3, 3, 4 4proper
fraction) 3 เป็นต้น สำหรับเศษส่วนที่ตัวเศษหรือตัวส่วนไม่เป็นจำนวนเต็ม
อาจไม่เป็นจำนวนตรรกยะ นอกจากนั้นเศษส่วนสามัญยังแยกออกเป็นเศษส่วนแท้ (ซึ่งมีค่าของตัวเศษน้อยกว่าตัวส่วน
ทำให้ปริมาณของเศษส่วนน้อยกว่า 1 เช่น 7improper fraction) 9
และเศษเกิน (คือเศษส่วนที่ค่าของตัวเศษมากกว่าหรือเท่ากับตัวส่วน
เช่น 5, 5 9 7
จำนวนคละ
จำนวนคละ (mixed number) เป็นการนำเสนอเศษส่วนอีกรูปแบบหนึ่ง
โดยนำจำนวนเต็มประกอบเข้ากับเศษส่วนแท้ และมีปริมาณเท่ากับสองจำนวนนั้นบวกกัน
ตัวอย่างเช่น คุณมีเค้กเต็มถาดสองชิ้น และมีเค้กที่เหลืออยู่อีกสามในสี่ส่วน
คุณสามารถเขียนแทนได้ด้วย 23 4
ซึ่งมีค่าเท่ากับ 2 + 3 4 จำนวนคละสามารถแปลงไปเป็นเศษเกินและสามารถแปลงกลับได้ตามขั้นตอนดังนี้
การแปลงจำนวนคละไปเป็นเศษเกิน (23 4)
คูณจำนวนเต็มเข้ากับตัวส่วนของเศษส่วนแท้ (2 × 4 = 8)
บวกผลคูณในขั้นแรกด้วยตัวเศษ (8 + 3 = 11)
นำผลบวกเป็นตัวเศษประกอบกับตัวส่วน เขียนใหม่เป็นเศษเกิน (11 4)
การแปลงเศษเกินไปเป็นจำนวนคละ (11 4)
หารตัวเศษด้วยตัวส่วน ให้เหลือเศษเอาไว้ (11 ÷ 4 = 2 เศษ 3)
นำผลหารที่ไม่เอาเศษไปเป็นจำนวนเต็ม (2_)
นำเศษจากการหารเป็นตัวเศษประกอบกับตัวส่วน
เขียนเศษส่วนต่อท้ายจำนวนเต็ม (23 4)
ดังนั้น(23 4)=(11 4)
เศษส่วนที่เทียบเท่ากัน
2 3
เทียบเท่ากับ 4 6
เศษส่วนที่เทียบเท่ากับอีกเศษส่วนหนึ่ง สามารถหาได้จากการคูณหรือการหารทั้งตัวเศษและตัวส่วนด้วยจำนวนที่เท่ากัน
(ไม่จำเป็นต้องเป็นจำนวนเต็ม) เนื่องจากจำนวน n
ที่คูณหรือหารทั้งตัวเศษและตัวส่วน คือเศษส่วน n ที่มีค่าเท่ากับ 1
ดังนั้นปริมาณของเศษส่วนจึงไม่เปลี่ยนแปลง ตัวอย่างเช่น กำหนดเศษส่วน 1 2 เมื่อคูณด้วย 2
ทั้งตัวเศษและตัวส่วนจะได้ผลลัพธ์เป็น 2 4
ซึ่งยังคงมีปริมาณเท่ากับ 1 2
จึงกล่าวได้ว่า 2 4 เทียบเท่ากับ 1 2
เมื่อลองจินตนาการจะพบว่าสองในสี่ส่วนของเค้กหนึ่งก้อน
ไม่แตกต่างจากการแบ่งเค้กครึ่งก้อน n
การหารเศษส่วนด้วยจำนวนที่เท่ากัน (ซึ่งจะไม่ใช้ 0
เป็นตัวหาร) เป็นการตัดทอนหรือการลดรูปเศษส่วนให้มีตัวเลขน้อยลง
สำหรับเศษส่วนที่ตัวเศษและตัวส่วนไม่มีตัวประกอบร่วมอื่นใดนอกจาก
1 กล่าวคือไม่มีตัวเลขอื่นนอกจาก 1 ที่สามารถหารแล้วได้เศษส่วนสามัญ เรียกว่า เศษส่วนอย่างต่ำ
ตัวอย่างเช่น 3 8
เป็นเศษส่วนอย่างต่ำเพราะมีตัวประกอบร่วมเพียงตัวเดียวคือ 1 ในทางตรงข้าม 3 9
ไม่เป็นเศษส่วนอย่างต่ำเนื่องจากยังสามารถหารด้วย 3 ได้อีกเป็น 1 3
นอกจากนั้นการเปรียบเทียบปริมาณของเศษส่วน
หากไม่สามารถจินตนาการหรือวาดรูปได้ จำเป็นต้องสร้างเศษส่วนที่เทียบเท่าขึ้นมาใหม่โดยให้มีตัวส่วนเท่ากันก่อนจึงจะสามารถเปรียบเทียบได้
ซึ่งตัวส่วนดังกล่าวสามารถคำนวณได้จากการคูณตัวส่วนทั้งสอง หรือจากตัวคูณร่วมน้อย
ตัวอย่างเช่น ถ้าต้องการเปรียบเทียบระหว่าง 3 4 กับ 11 18
ตัวส่วนสำหรับการเปรียบเทียบคือ ครน. ของ 4 กับ 18 มีค่าเท่ากับ 36
ดังนั้นจะได้เศษส่วนที่เทียบเท่าได้แก่ 27 36 กับ 22 36
ตามลำดับ ทำให้ทราบได้ว่า 3 4
มีปริมาณมากกว่า 11 18
เศษส่วนซ้อน
เศษส่วนซ้อน หรือ เศษซ้อน (complex/compound
fraction) คือเศษส่วนที่มีตัวเศษหรือตัวส่วนเป็นเศษส่วนอื่น
ตัวอย่างเช่น
เ ป็นเศษส่วนซ้อน
ในการลดรูปเศษส่วนซ้อนสามารถทำได้โดยการหารตัวเศษด้วยตัวส่วน เหมือนการหารธรรมดา
ดังนั้น จะมีค่าเท่ากับ 1÷ 2 1เศษส่วนต่อเนื่อง (continued fraction) 3 = 3 2
นอกจากนั้นตัวเศษหรือตัวส่วนสามารถเป็นนิพจน์ของเศษส่วนอื่นต่อๆ กันไปได้
อย่างเช่น
ส่วนกลับและตัวส่วนที่ไม่ปรากฏ
ส่วนกลับของเศษส่วน (reciprocal/inverse) หมายถึงเศษส่วนอีกจำนวนหนึ่งที่มีตัวเศษและตัวส่วนสลับกัน
เช่น ส่วนกลับของ 3 7 คือ 7 3 และเนื่องจากจำนวนใดๆ หารด้วย 1
จะได้จำนวนเดิม ดังนั้นจำนวนใดๆ จึงสามารถเขียนให้อยู่ในรูปเศษส่วนโดยมีตัวส่วนเท่ากับ
1 ตัวอย่างเช่น 17 เขียนให้เป็นเศษส่วนได้เป็น 17 1 ตัวเลข 1 นี้คือตัวส่วนที่ไม่ปรากฏ
ดังนั้นจึงสามารถบอกได้ว่าเศษส่วนและจำนวนทุกจำนวน (ยกเว้น 0)
สามารถมีส่วนกลับได้เสมอ จากตัวอย่าง ส่วนกลับของ 17 คือ 1 17
การบวกและการลบเศษส่วน ไม่เหมือนการบวกลบในตัวเลขจำนวนเต็ม สำหรับเลขจำนวนเต็ม
สามารถบวกลบกันได้เลย แต่การบวกและการลบแบบเศษส่วน จะต้องทำให้ส่วนเท่ากันเสียก่อน
จึงจะสามารถบวกลบกันได้ มาดูวิธีการบวกลบเศษส่วนที่ถูกต้องกันเลยครับ
การบวกลบเศษส่วน ของจำนวน 2 จำนวนที่มีส่วนเท่ากัน ให้นำเศษมาบวกกัน ตัวเลขที่เป็นส่วน คงไว้เท่าเดิม (เศษ หมายถึงตัวเลขข้างบน ส่วน หมายถึงตัวเลขข้างล่าง ) ดังนั้น เอาเฉพาะตัวเลขข้างบนบวกลบกัน ตัวเลขข้างล่าง คงไว้เท่าเดิม เช่น
การบวกลบเศษส่วน ของจำนวน 2 จำนวนที่มีส่วนเท่ากัน ให้นำเศษมาบวกกัน ตัวเลขที่เป็นส่วน คงไว้เท่าเดิม (เศษ หมายถึงตัวเลขข้างบน ส่วน หมายถึงตัวเลขข้างล่าง ) ดังนั้น เอาเฉพาะตัวเลขข้างบนบวกลบกัน ตัวเลขข้างล่าง คงไว้เท่าเดิม เช่น
การบวกลบเศษส่วน
การบวกลบเศษส่วน ที่มีส่วนไม่เท่ากัน หรือ ตัวเลขที่อยู่ข้างล่างไม่เท่ากัน
ต้องทำให้ส่วนเท่ากันเสียก่อน จึงจะสามารถบวกลบกันได้ วิธีทำให้ส่วนเท่ากัน
เพื่อที่จะทำให้สามารถบวกลบกันได้ ทำอย่างไร ไปดูกันเลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น